
อบรม Hands-on Workshop |Digital Forensics Foundation Course 4 Days | แก่บริษัท GrowPro Consulting & Services Co.,Ltd.
Orion Forensics LAB ได้รับเชิญบรรยายหลักสูตร On-Site | hands-on Workshop Digital Forensics Foundation Training Course (4 DAYS) แก่ผูที่สนใจจาก บริษัท GrowPro Consulting & Services Co.,Ltd. เมื่อวันที่ 6-9 กันยายน 2565
โดยหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรเบื้องต้นเชิงลึกสำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจด้านการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานดิจิทัล หรือ อยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์หลักฐานในอนาคต ,ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับพยานหลักฐานดิจิทัล หรือเพิ่มทักษะ digital forensics ในการทำงาน
หลักสูตรนี้จะช่วยสร้างความเข้าใจขั้นพื้นฐานอย่างลึกซึ้งในการพิสูจน์หลักฐานทางดิจิทัล (digital forensic)รวมถึงทางด้านเทคนิคต่างๆ โดยจะครอบคลุมเนื้อหาเชิงลึกและฝึกปฏิบัติตามสถานการณ์จริง ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละขั้น โดยในการอบรมครั้งนี้ Orion Forensics lab ได้ปรับหลักสูตรเพื่อตรงการทำงานของผู้เชี่ยวชาญ คือ รวบรวมข้อมูลจาก Cloud การตรวจสอบมัลแวร์ วิเคราะห์มัลแวร์ และ ใช้ Volatility Framework เพื่อวิเคราะห์ แรม
ผู้ฝึกอบรมจะได้ทดลองใช้เครื่องมือที่เป็น Forensics open source Tools ซึ่งเขียนและพัฒนาโดย ซึ่งจะได้เรียนรู้และทดลองปฏิบัติตามหลักสูตรโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ โดย
หลักสูตรนี้ได้รับการออกแบบโดยผู้ตรวจเชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ที่มีประสบการณ์และมีประสบการณ์หลายปีจากประเทศอังกฤษและในประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาของหลักสูตรสามารถนำไปปฏิบัติได้
เนื้อหาและข้อมูลสำหรับหลักสูตรนี้ Digital Forensics Foundation Training Course 4 Days
องค์ใดสนใจจัดอบรม In-House ติดต่อสอบถาม Sales โดยตรง forensics@orionforensics.com
Read More
การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2600/2563
การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3และ 7 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2600/2563 กรณีศึกษาลูกจ้างออกจากบริษัทแล้ว ยังเข้าใช้อีเมลบริษัท เป็นการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ
Read Moreพยานผู้เชี่ยวชาญคืออะไร?– บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบ
ในระหว่างการพิจารณาคดีของ Johnny Depp กับ Amber Heard ที่กำลังดำเนินอยู่และกำลังถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะพูดคุยและกล่าวถึงในเรื่องที่ว่า พยานผู้เชี่ยวชาญคืออะไร บทบาทและความรับผิดชอบของพวกเขาคือมีอะไรบ้าง
Read More
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์(เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด)
หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีความเปราะบาง และหากถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีทางกฎหมายนั้นจะต้องมีการจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อที่จะแสดงให้ศาลเห็นว่ามีการรักษาความสมบูรณ์และความถูกต้องของหลักฐาน ซึ่งหากมีการจัดการที่ผิดพลาดของอาจทำให้มีความสงสัยในหลักฐานและกลายเป็นคำถามในชั้นศาล
Read More
อบรม DIGITAL FORENSICS แก่ บริษัท โตเกียว มารีน ประกันชีวิต จำกัด
Orion Forensics ได้รับเชิญบรรยายหลักสูตร 2 วันแก่ บริษัท โตเกียว มารีน ประกันชีวิต จำกัด โดยวันแรก อบรมหลักสูตรบรราย Digital Evidence – Unlocking the Secrets ซึ่งเป็นหลักสูตรบรรยายตลอดการอบรม 1 วันเต็มๆ ในรูปแบบ On-line Class และวันที่ 2 อบรมหลักสูตร [Hands-on Workshop] Forensic Techniques for Auditor โดยหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตร Workshop ระยะสั้นสำหรับ it /Auditor /Fraud Analyst หรือผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับตรวจสอบทุจริต หรือทำงานเกี่ยวข้องกับหลักฐานดิจิทัล โดยผู้เข้าอบรมได้เห็นและสัมผัสเครื่องมือจริงที่ใช้ในการทำ Digital Forensics ซึ่งจัดในรูปแบบ In-House Class เมื่อวันที่ 3-4 มีนาคม 2565 ซึ่งสถานที่คือ โรงแรม S31 Sukhumvit .
ทาง Orion Forensics ขอขอบคุณบริษัท บริษัท โตเกียว มารีน ประกันชีวิต จำกัด ที่ให้โอกาส บรรยายให้ความรู้แก่พนักงาน เพื่อเพิ่มทักษะ Digital Forensics และการนำเทคนิคDigital forensics มาปรับใช้ร่วมกับการทำงานในปัจจุบัน
ภาพบรรยากาศอบรม
วันที่ 1 (อบรมออนไลน์ จำนวน 26 ท่าน )
วันที่่ 2 (อบรมIn-House จำนวน 15 ท่าน)
หลักสูตรทั้งหมด คลิก
สนใจจัดอบรม อีเมลย์ forensics@orionforensics.com
Read Moreตัวอย่างการทุจริตในองค์กรช่วงโควิด-19 และวิธีป้องกันเบื้องต้น
การทุจริตหรือฉ้อโกง คือการกระทำที่มีเจตนาเอาทรัพย์สินหรือเงินจากผู้อื่นด้วยอุบาย หลอกลวง หรือวิธีการที่ไม่เป็นธรรมอื่น ๆ
การทุจริตในองค์กร คือการทุจริตต่อบริษัท ซึ่งอาจกระทำโดยบุคลากรภายในองค์กรหรือบุคคลอื่นภายนอกองค์กร การทุจริตที่เกิดขึ้นภายในองค์กร หมายถึง เหตุการณ์ที่พนักงาน ผู้จัดการ หรือเจ้าของบริษัทกระทำการทุจริตต่อบริษัทของตนเอง เช่น ขโมยหรือใช้ทรัพย์สินของบริษัทในทางที่ผิด การทุจริตจากภายนอกองค์กร คือ การทุจริตที่กระทำโดยบุคคลภายนอก โดยรวมถึง การให้สินบน การโกง การเจาะหรือแฮกเข้าระบบของบริษัท การขโมยและการประกัน การกู้ยืม และการฉ้อโกงการชำระเงิน ทั้งนี้ คาดว่าองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก สูญเสียรายได้รวมร้อยละ 5 จากการทุจริต
ความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และอาชญากรรม อาจทำให้เราเชื่อว่าทุจริตเกิดขึ้นจากพนักงานที่มีเจตนาไม่ดีและไม่มีศีลธรรม อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการวิเคราะห์คดีทุจริตในองค์กรกว่า 1,000 คดี ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการทุจริตพบว่า มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นแรงจูงใจสำคัญที่ก่อให้เกิดการทุจริต ปัจจัยเหล่านี้อยู่ในทฤษฎีสามเหลี่ยมการทุจริต
ทฤษฎีสามเหลี่ยมการทุจริตประกอบด้วย โอกาส แรงกดดัน และการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง ยกตัวอย่างการทุจริตง่าย ๆ เช่น ลิ้นชักเก็บเงินในบริษัทของแจ็คที่ไม่เคยมีการป้องกัน ไม่มีการเฝ้าดูแล รวมถึงไม่มีการสรุปรวมยอด แจ็คจึงมีโอกาส เมื่อเขาไม่ค่อยมีเงินสด และวันนี้เป็นวันเกิดแฟนของเขา และเขายังไม่ได้ซื้อของขวัญให้แฟน เขาจึงมีแรงกดดัน เงินเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์คงไม่กระทบบริษัทมากนัก และคงไม่มีใครจับได้ เขาได้ค่าจ้างต่ำเกินไป ทั้งยังทำงานหนักมาก แถมเจ้านายของเขาก็ยังเป็นคนงี่เง่า แจ็คจึงมีเหตุผลให้กับตัวเอง ปัจจัยทั้งสามตามทฤษฎีสามเหลี่ยมการทุจริต ทำให้แจ็คมีแรงกระตุ้นจะกลายเป็นผู้ทุจริตองค์กร แม้โดยทั่วไปเขาจะเป็นพนักงานที่ทำงานด้วยศีลธรรมและเจตนาดีก็ตาม
ทฤษฎีสามเหลี่ยมการทุจริตจะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ได้อย่างไร
โอกาส – ในขณะที่ทำงานจากที่บ้าน หลายบริษัทต้องปรับใช้วิธีการทำงานรูปแบบใหม่ โดยมีการควบคุมน้อยลง
แรงกดดัน – พวกเราทุกคนทราบดีว่าเราต้องเผชิญกับแรงกดดันหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากความไม่แน่นอน เงินเดือนที่น้อยลง ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว และระดับความวิกตกกังวลที่เกิดขึ้น
การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง – ในขณะทำงานจากที่บ้าน พนักงานอาจรู้สึกว่ามีปฏิสัมพันธ์กับนายจ้างและเพื่อนร่วมงานน้อยลง หรือรู้สึกไม่พอใจนายจ้างกับมาตรการที่ใช้ในช่วงโรคระบาด อย่างเช่น การลดเงินเดือน หรือการปลดออกจากงาน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ทำให้พนักงานหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อกระทำการทุจริตได้ง่ายขึ้น
สมาคมต่อต้านการทุจริตสากล (ACFE) เป็นองค์กรต่อต้านการทุจริตที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้ให้บริการฝึกอบรมและการให้ความรู้เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริต (ทั้งยังเป็นผู้จัดทำสถิติส่วนใหญ่ที่นำเสนอในบทความนี้) ทั้งนี้ ACFE พบว่ามีการทุจริตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลกระทบในช่วงโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยักยอกเงินโดยพนักงาน การทุจริตทางออนไลน์ การฉ้อโกงการชำระเงิน และการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลอันเกิดจากการกำกับดูแลที่น้อยลง สมาชิกของ ACFE ยังได้รายงานอีกว่า มีความยากลำบากในการตรวจสอบการทุจริตเนื่องจากการเดินทางที่จำกัดและไม่สามารถเข้าถึงหลักฐานได้อย่างเพียงพอ
แม้ว่าโควิด-19 จะก่อให้เกิดโอกาสในการทุจริตและการทุจริตรูปแบบใหม่ ๆ แต่พื้นฐานของการทุจริตและการที่บริษัทต่าง ๆ สามารถใช้ในการป้องกันการทุจริตก็ยังคงเหมือนเดิม หัวข้อที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้คือวิธีการที่บริษัทสามารถใช้ได้เพื่อลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของการทุจริต
- สายด่วน – ร้อยละ 43 ของการทุจริตถูกตรวจพบผ่านสายด่วน องค์กรที่มีสายด่วนสามารถตรวจพบการทุจริตได้เร็วกว่าและสามารถจำกัดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการมีวิธีการรายงานที่ชัดเจนเพื่อให้พนักงาน ผู้จัดหา และบุคคลอื่น ๆ สามารถรายงานข้อสงสัยต่าง ๆ ในการทุจริต ผู้ทำการทุจริตส่วนมากมักจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ใช้เงินเกินกำลัง และเพื่อนร่วมงานอาจสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้และรายงานความน่าสงสัยได้ ทั้งนี้ ปัจจัยในการก่อการทุจริตอื่น ๆ ยังรวมถึงปัญหาทางการเงิน ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอย่างผิดปกติกับผู้ขายหรือลูกค้า และการติดยาเสพติด
- การฝึกอบรบและให้ความรู้เรื่องการทุจริต – พนักงานมักจะรายงานข้อมูลมากขึ้นหลังจากได้รับการฝึกอบรม นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มน้อยลงที่พนักงานจะทำการทุจริตหากได้ตระหนักถึงหลักจรรยาบรรณและนโยบายการต่อต้านการทุจริตและการควบคุมภายใน หัวข้อการฝึกอบรมจะรวมถึงการทุจริต การทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ และกระบวนการรายงานการทุจริต
- ผู้นำองค์กรเป็นแบบอย่าง – ปัจจัยหลายประการในการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อกระทำการทุจริตเกิดจากการจัดการที่ไม่ดี ผู้บริหารและเจ้าของต้องเป็นตัวอย่างที่ดี โดยประพฤติตนตามหลักจรรยาบรรณและปฏิบัติต่อพนักงานและผู้ขายอย่างเป็นธรรม
- แผนการรับมือต่อเหตุการณ์ทุจริต – บริษัทควรมีแผนการรับมือกับการทุจริตหรือข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับการทุจริต ซึ่งอาจรวมถึงบริษัทสืบสวนทุจริตภายนอกบริษัทที่สามารถให้การสนับสนุนในการสอบสวนและการปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามกฎหมายได้ เมื่อตรวจพบการทุจริต เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวบรวมหลักฐานให้ถูกต้องตามหลักนิติวิยาศาสตร์ เพื่อให้หลักฐานสามารถนำไปใช้ในการดำเนินคดีตามกฎหมายได้ หลักฐานควรได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะพิจารณาว่าสามารถใช้ดำเนินคดีกับผู้กระทำการทุจริตได้หรือไม่ บริษัทต่าง ๆ มักจะรีบเผชิญหน้ากับผู้กระทำการทุจริตก่อนที่จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดอย่างเพียงพอ เพื่อแสดงจุดยืนของบริษัท เพราะฉะนั้นต้องระวังข้อนี้ให้ดี
- การควบคุมภายใน – บริษัทส่วนใหญ่จะไม่มีลิ้นชักเก็บเงินที่มีการดูแลซึ่งช่วยให้แจ็คทำการทุกจริตได้อย่างง่ายดาย แต่หลาย ๆ บริษัทจะมีช่องโหว่ทำนองเดียวกันซึ่งพนักงานสามารถรับรู้ได้เมื่อทำงานไปเรื่อย ๆ การควบคุมภายในที่เข้มงวด ซึ่งรวมถึงการแบ่งแยกหน้าที่ อุปกรณ์ป้องกันและการเข้าตรวจสอบโดยไม่แจ้งล่วงหน้า จะช่วยลดปัจจัยที่สร้างโอกาสให้เกิดการทุจริตตามทฤษฎีสามเหลี่ยมได้ ทั้งนี้ มีผู้ตรวจสอบภายนอกจำนวนมากที่ให้บริการตรวจสอบการควบคุมภายใน
- การประเมินความเสี่ยงของการทุจริต – การประเมินความเสี่ยงเป็นการดำเนินการเชิงรุกในการระบุและบรรเทาจุดอ่อนของบริษัทที่เสี่ยงต่อการทุจริตทั้งภายในและภายนอก โดยการประเมินสามารถทำได้ภายในองค์กรหรือรับการสนับสนุนจากที่ปรึกษาภายนอกองค์กร
- การสอบบัญชีโดยผู้ตรวจสอบภายนอก – การตรวจสอบบัญชีหรืองบการเงินของบริษัทโดยผู้ตรวจสอบบัญชีภายนอกเป็นวิธีการสำคัญวิธีการหนึ่งในการตรวจหาการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรใหญ่ ทั้งนี้ ควรให้ผู้ตรวจสอบบัญชีระบุความเสี่ยงของการทุจริตด้วยในระหว่างการสอบบัญชีแต่ละครั้ง
- การคัดกรองก่อนจ้างงาน – การคัดกรองนี้รวมถึงการตรวจสอบหน้าที่การงานที่ผ่านมาของพนักงาน ประวัติอาชญากรรมและประวัติส่วนตัว ตรวจสอบการศึกษา และ ตรวจสอบบุคคลอ้างอิง องค์กรควรทำให้แน่ใจว่ากระบวนการจ้างงานทั้งหมดของตนเป็นไปตามกฎหมายปกป้องข้อมูล และไม่มีการเข้าถึงข้อมูลของผู้สมัครงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้บริการจากบริษัทคัดกรองที่เป็นมืออาชีพ
ดังคำกล่าวที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” การปรับใช้วิธีการต่อต้านการทุจริตเหล่านี้จะลดความเสี่ยงที่องค์กรของคุณอาจตกเป็นเหยื่อของการทุจริต นอกจากนี้ยังช่วยให้แน่ใจว่า หากคุณเป็นเหยื่อของการทุจริต การแก้ไขปัญหาจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม และก่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
ประวัติผู้เขียนบทความ
ปีเตอร์ ฮอร์มชอว์ มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในการสืบสวนด้านธุรกิจและเป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท โอไร้อัน อินเว็สทิเกชั่น จำกัด – ซึ่งเป็นบริษัทสืบสวนด้านธุรกิจและสำนักงานกฎหมายที่จดทะเบียนในกรุงเทพฯ โดยมีพนักงานสอบสวน ทนายความ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติคอมพิวเตอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ มากกว่า 100 คน ปีเตอร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาปรัชญาและการเมือง และปริญญาโทบริหารธุรกิจ และเป็นผู้ตรวจสอบการทุจริตที่ได้รับการรับรอง
Read MoreDigital Forensics คืออะไร
Computer Forensics / Digital Forensics คือ การเก็บหลักฐาน, การค้นหา, วิเคราะห์ และการนำเสนอหลักฐานทางดิจิทัลที่อยู่ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ไฟล์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์,อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, โทรศัพท์มือถือ รวมถึงหลักฐานดิจิทัลที่ถูกสร้างจากระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ระบุผู้กระทำผิดจนถึงเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ใช้กระบวนการซึ่งได้จัดสร้างไว้แล้ว และเป็นที่ยอมรับ ในการที่จะระบุ, บ่งชี้, เก็บรักษา และดึงข้อมูลแบบดิจิทัลกลับออกมา ซึ่งจะมีความสำคัญต่อการสืบสวนคดีในยุคปัจจุบัน
Computer Forensics เป็นศาสตร์ทางด้านการสืบสวนที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์โดยผู้ทำการสืบสวน นั้น จะนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับคดีหรือเรื่องที่กำลังสืบสวนมาค้นหาข้อมูล เพื่อสืบค้นหาพยานหลักฐานสำหรับใช้ในการประกอบการสืบสวนหรือใช้ค้นหาผู้กระทำความผิดออกมา ทั้งนี้ตามวิธีการของการทำ Computer Forensics ซึ่งหลักสำคัญคือหลักฐานทางดิจิทัล นั้น จะต้องใช้วิธีการที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้นแก่พยานหลักฐานดิจิทัล ต้นฉบับเดิม ดังนั้นผู้ที่ทำงานด้าน Computer Forensicsจะต้องรู้กระบวนการที่ถูกต้องและใช้เครื่องมือที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อความสมบูรณ์และถูกต้องของพยานหลักฐาน
สิ่งที่ได้จาก Computer Forensics :
- บ่งชี้ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้กระทำผิด
- บ่งชี้ผู้สมคบคิดกับผู้กระทำผิด
- บ่งชี้ websites ที่ผู้กระทำผิดเข้าไปใช้
- อีเมล์ที่มีการส่งและรับ
- ไฟล์ที่ได้ถูกลบทิ้งและไฟล์ที่ซ่อนอยู่
- ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ข้อมูลด้านการเงิน, ที่อยู่ ฯลฯ
- ความสามารถและความสนใจของของบุคคลนั้นๆ
- พยานหลักฐาน การประกอบอาชญากรรมอื่นๆ
ในการค้นหาหลักฐานทุกครั้งนั้นผู้เชี่ยวชาญด้าน Computer Forensics จะทำการตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลทางดิจิทัลสำหรับหลักฐานที่ใช้แนวทางของการทำ Computer Forensics ในการค้นหาหลักฐาน มีความจำเป็นที่ขั้นตอนนี้ต้องมีความชัดเจนในการในการอธิบายหลักฐานในแนวทางของ Computer Forensics
แนวทางการทำ Computer Forensics เป็นวิธีการที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแหล่งที่มาของหลักฐาน หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเพื่อให้ใด้หลักฐานที่ต้องการ วิธีการได้มาของหลักฐานจะถูกบันทึกเป็นเอกสารและสามารถพิสูจน์ได้
การทำ Computer Forensics สามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนที่สำคัญดังนี้
1.การเก็บรักษา – เมื่อจะต้องจัดการเก็บข้อมูลดิจิทัล ผู้ตรวจสอบจะต้องทำการทุกอย่างเพื่อรักษาข้อมูลไว้ นี่สามารถทำได้โดยการปฏิบัติของผู้ตรวจสอบจะต้องไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยปกติแล้วจะรวมถึงการสร้างสำเนาข้อมูล หรือ Cloning ข้อมูลต้นฉบับไว้ ข้อมูลดิจิทัลสามารถเก็บไว้บนฮาร์ดไดร์ฟ, CD/DVD, floppy disks, USB drives, มือถือ, เครื่องเล่นดนตรี และเทปสำรอง.
2.การวินิจฉัย – ความจุของฮาร์ดไดร์ฟจะเพิ่มขึ้นปีต่อปี ผลก็คือการตรวจสอบอาจประกอบด้วยข้อมูลดิจิทัลเป็นร้อยๆกิ๊กกะไบท์ เพื่อที่จะระบุหลักฐานที่เป็นไปได้ผู้สืบสวนจะใช้เทคนิคเช่นการค้นหา keywords หรือ กรองข้อมูลเจาะจงของไฟล์เช่นเอกสาร รูปภาพ หรือไฟล์ประวัติอินเตอร์เน็ต
3.การแยกข้อมูล – เมื่อหลักฐานได้รับการวินิจฉัย มันจะต้องถูกแยกข้อมูลออกมาจากสำเนาข้อมูล ขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูล อาจปริ้นท์ออกมาเป็นเอกสารได้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเช่นประวัติอินเตอร์เน็ตอาจจะมีหลายร้อยหน้าและจะต้องทำออกมาในรูปแบบอีเล็คทรอนิกส์
4.การอธิบาย – การระบุและแยกหลักฐานคือส่วนหนึ่งของหน้าที่ของผู้ตรวจสอบ มันมีความสำคัญมากที่จะต้องอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานให้ถูกต้อง ผู้ตรวจสอบไม่ควรจะพึ่งพาเครื่องมืออัตโนมัติ ผู้ตรวจสอบควรจะมีความสามารถในการตรวจสอบและเข้าใจผลลัพธ์ที่ได้มาจาก forensic software
5.บันทึกของของหลักฐานคอมพิวเตอร์ – เมื่อการตรวจสอบเริ่มขึ้น ผู้ตรวจสอบจะต้องรักษาบันทึกที่เกี่ยวกับการทำงานกับข้อมูลดิจิทัลให้มีความอัพเดทอยู่สม่ำเสมอและขั้นตอนของการทำการตรวจสอบ บันทึกควรจะมีข้อมูลที่เพียงพอเพื่อให้บุคคลที่สามสามารถทำตามแล้วได้ผลลัพธ์ที่ออกมาเหมือนกัน การสร้างหลักฐานสำคัญจะไม่มีความหมายเลยถ้าผู้ตรวจสอบไม่สามารถสร้างรายงานที่ชัดเจนได้เข้าใจได้ สำคัญมากที่จะต้องไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิคมากเกินไปและเมื่อมีการใช้ศัพท์เมื่อจำเป็น ศัพท์เหล่านั้นจะต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน ผู้ตรวจสอบอาจต้องทำการแสดงหลักฐานที่พบในชั้นศาลในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ
สมาคมเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของสหราชอาณาจักร (ACPO) ได้จัดทำคู่มือแนะนำการปฏิบัติงานเก็บหลักฐานสำหรับหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ (Computer-Based Electronic Evidence) โดยคู่มือนี้ได้กำหนดหลักการสำคัญในการได้มาซึ่งหลักฐานทาง Computer Forensics 4 ประการคือ
หลักการที่1:หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหรือตัวแทนองค์กร ไม่ควรดำเนินการใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์หรือสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ ซึ่งอาจนำไปใช้ในศาลได้ในภายหลัง
หลักการที่2:ในกรณีที่บุคคลใดมีความจำเป็นที่จะมีการเข้าถึงข้อมูลในคอมพิวเตอร์หรือสื่อบันทึกข้อมูลซึ่งเป็นหลักฐาน บุคคลนั้นจะต้องอธิบายถึงความเกี่ยวข้องกับข้อมูลและผลกระทบจากการกระทำนั้น
หลักการที่3:หลักฐานการตรวจสอบหรือบันทึกอื่น ๆ ของกระบวนการตรวจสอบทั้งหมดที่ใช้กับหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์รควรได้รับการจัดทำและรักษาไว้ (Chain of Custody)โดยผู้ตรวจสอบหากมีบุคคลที่สาม หรือองค์กรอิสระ ที่เข้ามาตรวจสอบ ก็จะได้ผลลัพเช่นเดียวกัน
หลักการที่4:บุคคลที่รับผิดชอบในการดำเนินการตรวจสอบ(เจ้าหน้าดูแลคดีนั้นโดยตรง) จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำเพื่อให้มั่นใจว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายและหลักการ Computer Forensics
หลักการของ Computer Forensics 4 ข้อ ที่นำเสนอ สามารถนำไปใช้ในคดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คดีอาญา, คดีแพ่ง หรือการสืบสวนภายในองค์กร การนำหลักการนี้มาใช้จะช่วยให้ไม่เกิดคำถามในเรื่องความสมบูรณ์ของหลักฐานดิจิทัล
เกี่ยวกับผู้เขียน:
Mr. Andrew Smith (Andy) – Director of Computer Forensics Services at Orion Forensics Thailand
แอนดรูว์มีประสบการณ์มากกว่า 17 ปี ในสาขานิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล และเคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหราชอาณาจักรเป็นเวลา 9 ปี โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาใช้เวลาทำงานในแผนกอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ตำรวจซึ่งเขาได้รับการฝึกอบรมทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างมากมาย มีบทบาทของในการรวมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และการวิเคราะห์ข้อมูล รวมไปถึงการนำเสนอหลักฐานในศาลของสหราชอาณาจักรในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ
ขณะนี้แอนดรูว์ทำงานที่กรุงเทพฯมาเป็นเวลากว่า 7 ปีและเป็นผู้อำนวยการฝ่าย Computer Forensics Services ของ บริษัท Orion Investigations บทบาทของเขาคือดูแลการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ การพัฒนาธุรกิจ การส่งเสริมความตระหนักถึงความปลอดภัยในโลกไซเบอร์และอธิบายหลักฐานในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญในศาลไทย และเป็นวิทยากรที่อบรมให้กับหน่วยงานธุรกิจและองค์กรต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งได้พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมทางนิติวิทยาศาสตร์สำหรับตลาดในประเทศไทย อีกทั้งยังได้พัฒนาเครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ในห้องปฏิบัติการนิติเวชทั่วโลก
Email :andrew@orioninv.co.th
บริการ รวบรวม วิเคราะห์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์ และ ขึ้นเป็นพยานในชั้นศาล
Read Moreการฉ้อโกงการโอนเงินทางอีเมลของแฮกเกอร์ (BEC) -หลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อ
Orion Forensics ได้เห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากในเคสที่พนักงานที่รับผิดชอบในการการชำระเงินในนามของบริษัทถูกหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารภายใต้การควบคุมของบุคคลที่เป็นอันตราย (Business Email Compromise) หรือ แฮกเกอร์นั่นเอง ในช่วง 13 วันแรกของปีนี้ (พ.ศ. 2565) เราได้รับการติดต่อเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว 3 กรณีในต้นปีนี้
การฉ้อโกงประเภทนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และคุณสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทของคุณตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงทางอีเมล
ผู้ฉ้อโกงมักจะสามารถเข้าถึงห่วงโซ่อีเมลโดยไม่ได้รับอนุญาตได้หลายวิธี โดยเป็นเรื่องยากที่จะระบุว่ามาจากช่องทางใหน ซึ่งรวมถึง
- องค์กรของคุณอาจถูกแฮ็คเครือข่ายบริษัท Company network หรือเครือข่ายผู้ขายของคุณ Vendor’s network
- การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยพนักงานที่เป็นอันตราย
- การหลอกหลวงทาง Social Media เช่นผู้ไม่ประสงค์ดี ติดตามเฝ้ามองพฤติกรรมผ่านทาง Social Media หรือ phishing emails (ฟิชชิ่งอีเมล เช่น พนักงานหรือผู้บริหารอาจกดหรือคลิกลิ๊งแปลกๆที่ได้รับทางอีเมลย์ หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์จะถูกติดตั้งซอฟแวร์จากผู้ไม่ประสงค์ดีเพื่อจับตามอง หากผู้ใช้งานกำลังคุยกันเรื่องจ่ายเงินหรือโอนเงิน
- ผู้ไม่ประสงค์ดี อาจได้รายละเอียด เช่น username or Password ของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น จากการติดตั้งมัลแวร์ ลงบนคอมพิวเตอร์ หรือ ผู้ใช้งานที่ ล๊อกอิน ใช้เครือข่าย WIFI ที่ไม่ปลอดภัยหรือฟรี ตามห้างร้านต่างๆ โดยไม่มี VPN
ดังนั้น อาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะระบุว่า ผู้ไม่ประสงค์ดี เจาะเข้าคอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้งานคอมเครื่องนั้นหรือเหยื่อได้อย่างไร และช่องทางใหน ซึ่งต้องดูเป็นแต่ละกรณีไป
เมื่อได้รับการเข้าถึงห่วงโซ่อีเมลแล้ว ผู้ไม่ประสงค์ดีได้จับตามองและหากเหยื่อกำลังพูดถึงการโอนเงิน ไม่ประสงค์ดีจำทำการสร้างอีเมลที่เกือบจะเหมือนกับอีเมลของเหยื่อที่เป็นบุคคลที่คาดว่าจะได้รับการโอนเงิน จากนั้นผู้ไม่ประสงค์ดีจะส่งอีเมลจากอีเมล ปลอมโดยใช้ข้ออ้าง เช่น “บัญชีธนาคารของเรากำลังตรวจสอบ ดังนั้นคุณต้องชำระเงินเข้าบัญชีอื่นของเรา” ผู้ไม่ประสงค์ดี มักจะจับตามองอีเมลบุคคลอื่นๆภายในห่วงโซ่อีเมลอีกด้วย เพื่อผลักดันให้มีการชำระเงินโดยเร็วที่สุด โดยสร้างอีเมลปลอมเช่นกัน ตอนนี้ผู้ไม่ประสงค์ดีได้เข้าควบคุมการสนทนาแล้ว ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่มองไม่เห็นความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างอีเมลจริงกับอีเมลปลอม ด้วยเหตุนี้ อีเมลเพิ่มเติมทั้งหมดจึงถูกเปลี่ยนเส้นทางจากผู้รับที่แท้จริงไปยังผู้หลอกลวง เมื่อชำระเงินแล้ว จะได้รับเงินคืนได้ยากอย่างยิ่ง ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด
หากคุณพบว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงประเภทนี้ Orion Forensics Lab อาจสามารถช่วยรวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมหลักฐานเพื่อให้คุณสามารถรายงานหลักฐานที่พบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ
- เก็บสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ของอีเมลต้นฉบับทั้งหมดในห่วงโซ่อีเมล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอีเมลที่ขอชำระเงินไปยังบัญชีธนาคารใหม่และอีเมลติดตามผลจากผู้ไม่ประสงค์ดี
สิ่งสำคัญคือต้องเก็บสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ของอีเมลที่ได้รับต้นฉบับและไม่ใช่อีเมลที่ส่งต่อไปยังพนักงานภายในองค์กร เหตุผลก็คืออีเมลมีข้อมูลของผู้ไม่ประสงค์ดีซ่อนอยู่ซึ่งมักจะไม่เห็นเมื่อดูอีเมลผ่านโปรแกรมรับส่งเมล ข้อมูลนี้เรียกว่าข้อมูลส่วนหัวของอีเมลและมีรายละเอียดของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่อีเมลส่งผ่านจากผู้ส่งไปยังผู้รับ ส่วนหัวของอีเมลจะประกอบด้วยข้อมูลเวลาและวันที่และอาจเป็นที่อยู่อินเทอร์เน็ตโปรโตคอล (IP) ของผู้ส่ง อุปกรณ์จะต้องได้รับการจัดสรรที่อยู่ IP เพื่อให้อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ที่อยู่ IP นี้จะถูกจัดสรรให้กับลูกค้าโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ดังนั้น หากเราสามารถระบุที่อยู่ IP เริ่มต้นของอีเมลและข้อมูลเวลาและวันที่ เราสามารถระบุได้ว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสรรที่อยู่ IP และจากประเทศใด การบังคับใช้กฎหมายสามารถยื่นคำร้องทางกฎหมายต่อ ISP เพื่อขอรายละเอียดว่าใครได้รับการจัดสรรที่อยู่ IP ให้ ณ เวลาและวันที่ส่งอีเมล
เมื่อคุณส่งต่ออีเมลภายใน ข้อมูลส่วนหัวของอีเมลเดิมอาจสูญหายได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องรักษาอีเมลเดิมที่ได้รับในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
กรณีศึกษา – ตัวอย่างกรณีที่เราสามารถช่วยเหลือลูกค้าของเราได้
ตัวอย่างที่ 1 – บริษัทไทยแห่งหนึ่งขอให้เราตรวจสอบอีเมลที่ได้รับจากผู้ฉ้อโกงเพื่อพยายามระบุว่าอีเมลดังกล่าวถูกบุกรุกจากเครื่อข่ายลูกค้าหรือคู่ค้าในสหรัฐอเมริกา เราสามารถแสดงให้เห็นว่าผู้ฉ้อโกงใช้รายละเอียดการเข้าสู่ระบบอีเมลของคู่ค้าในสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าสู่ระบบบัญชีอีเมลผ่านเว็บเมลจากไนจีเรีย และด้วยเหตุนี้อาจระบุได้ว่าคู่ค้าอาจถูกเข้าถึงอีเมลย์ โดยผู้ไม่ประสงค์ดี
ตัวอย่างที่ 2 – ผู้ไม่ประสงค์ดี ได้สร้างที่อยู่อีเมลปลอมซึ่งคล้ายกับที่อยู่อีเมลที่ถูกต้องของลูกค้าของเราเพื่อทำการฉ้อโกง ด้วยเหตุนี้ บริษัทอื่นจึงสรุปว่าเครือข่ายของลูกค้าเราถูกบุกรุก จากนั้นพวกเขาก็นำลูกค้าของเราขึ้นศาลเพื่อฟ้องร้องเรื่องความล้มเหลวในการดูแลเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ปลอดภัย จากหลักฐานที่มีอยู่ บริษัทอื่นไม่สามารถสรุปได้ Orion ได้ขึ้นศาลในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญของลูกค้าของเราโดยระบุว่าจากหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดในขณะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปว่าระบบอีเมลโดนแฮก เกิดขึ้นได้อย่างไร และบริษัทใดถูกบุกรุก
หากคุณต้องการความช่วยเหลือ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อ Orion Forensics เพื่อดูว่าเราจะสามารถช่วยได้อย่างไร
หลักสูตรอบรม 1 วัน จัดอบรมให้ความรู้ด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์แก่พนักงานหรือผู้บริหารของคุณ คลิก
Read More

จัดอบรม Online หลักสูตร Digital Evidence-Unlocking the Secret Course แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย
Orion Forensics LAB ได้รับเชิญเป็นครั้งที่ 3 ในการบรรยายออนไลน์ 1 วัน กับหลักสูตร Digital Evidence – Unlocking the Secrets (1) Day แก่ฝ่าย ตรวจสอบภายใน จากธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564
วัตถุประสงค์ของการอบรมครั้งนี้คือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบภายใน ต้องการเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ หากต้องรวบรวมหลักฐานและนำไปใช้ในกระบวนการทางกฎหมาย รวมถึงกระบวนการเก็บรักษาหลักฐานระหว่างการตรวจสอบเพื่อไม่ให้หลักฐานปนเปื้อนหรือได้รับความเสียหาย การพิจารณาของศาลต่อหลักฐานดิจิทัล สุดท้ายคือการทำรายงานนำเสนอหลักฐานในศาล โดยทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล
องค์กรใดสนใจจัดอบรม สอบถามทางฝ่ายขาย forensics@orionforensics.com
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตรนี้ Digital Evidence – Unlocking the Secrets
Read More
จัดอบรม Online หลักสูตร Digital Evidence-Unlocking the Secret Course แก่บริษัท Runexy (Thailand) Col.,Ltd.
Orion Forensics ได้รับเชิญบรรยายหลักสูตร 1 วัน Digital Evidence – Unlocking the Secrets แก่เจ้าหน้าที่จาก บริษัท Runexy (Thailand) Col.,Ltd. โดยบรรยาย ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่จากฝ่ายขายในประเทศไทยและผู้บริหารจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564
โดยวัตถุประสงค์ของการอบรมครั้งนี้คือ ให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเข้าใจเกี่ยวกับ พยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ และการนำหลักฐานไปใช้ในชั้นศาลมากขึ้น เพื่อนำไปต่อยอดการทำงานในบริษัทต่อไป
องค์กรใดสนใจจัดอบรม สอบถามทางฝ่ายขาย forensics@orionforensics.com
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตรนี้ Digital Evidence – Unlocking the Secrets
Read More